วิธีดู “เงินสด” โลหิตเลี้ยงกิจการ (๒)

cashflow

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

คราวที่แล้วเราได้เกริ่นถึงการดู “เงินสด” โดยอธิบายไปแล้วว่า เงินสดมีความเคลื่อนไหวผ่านกิจกรรมทั้งสาม ได้แก่ “กิจกรรมดำเนินงาน” “กิจกรรมลงทุน” และ “กิจกรรมจัดหาเงิน” และพูดถึง “กิจกรรมดำเนินงาน” พอสังเขปว่าเป็นเรื่องของ “ธุรกิจหลัก” ของบริษัท ( ถ้ายังไม่ได้อ่านตอนที่แล้ว คลิกที่นี่ )

ในตอนนี้ เราจะว่ากันต่อจากคราวที่แล้วว่า มีวิธีดูกระแสเงินสดอีกสองตัวที่เหลือ อย่างไร อย่างไหนคือ “ดี” หรือ “ไม่ดี” ดังนี้ครับ

ในส่วนของ “กิจกรรมลงทุน” หลักการคือต้องดูว่า การลงทุนนั้นๆ สอดคล้องกับธุรกิจที่บริษัททำหรือเปล่า เช่น  ถ้าบริษัทผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และมีการลงทุนด้วยการซื้อเครื่องจักร เช่นนี้ก็ถือว่าไม่ขัดแย้งกัน

หรือหากบริษัทมีการซื้อที่ดิน เราก็ต้องตามไปดูต่อว่า บริษัทซื้อไปเพื่ออะไร ถ้าซื้อที่ดินเพื่อขยายกิจการ เช่น เอาไปสร้างคลังสินค้า หรือเปิดโชว์รูมใหม่ ก็ถือว่าโอเค (แต่จะสอดคล้องกับแผนงานของบริษัทหรือไม่ขนาดไหน ก็แล้วแต่จะพิจารณา)

แต่ถ้าเป็นที่ดินที่เจ้าของอยากได้ จึงไปซื้อเก็บไว้เฉยๆ โดยไม่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ เช่นนี้ไม่เข้าท่าแน่นอน เพราะเป็นการเอาเงินสดของกิจการไปใช้เพื่อสนองความต้องการส่วนตน

ถ้ากิจกรรมลงทุนนั้นๆ ทำไปโดยไม่สอดคล้องกับธุรกิจหลักของบริษัท เช่น เป็นบริษัททำบ้านจัดสรร แต่กลับไปซื้อสนามกอล์ฟ โดยอ้างว่าเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทว่าเมื่อดูลึกไปในรายละเอียดกลับพบว่า สนามกอล์ฟนั้นเป็นสมบัติของตระกูลของเจ้าของ เช่นนี้เราก็ต้องตั้งคำถามให้จงหนัก ว่าการใช้เงินสดครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์บริษัทจริงหรือไม่อย่างไร

นอกจากนี้ ยังมีบางกรณี เช่น บริษัทเอาเงินสดที่เหลือไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งแม้ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท นักลงทุนจึงต้องตั้งคำถามกับผู้บริหารว่าเหตุใดจึงลงทุนเช่นนั้น

โดยหากผู้บริหารเอาเงินสดไปซื้อพันธบัตร ด้วยเจตนาที่จะเก็บเงินไว้เพื่อเตรียมลงทุนในระยะเวลาอันใกล้ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่ถ้าไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน แทนที่จะเอาเงินสดไปแช่ไว้ในพันธบัตรหลายๆ ปี สู้จ่ายออกมาเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นหรืออย่างน้อยก็เอาไปชำระหนี้ของบริษัทจะดีกว่าหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่สมควรถูกตั้งคำถามทั้งสิ้น

bgh6

สุดท้ายก็เป็นเรื่องของ “กิจกรรมจัดหาเงิน” ซึ่งหลักๆ ก็คือ “การกู้เงิน” กับ “การจ่ายเงินปันผล” ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

หากบริษัทมีการจ่ายปันผล แปลว่า บริษัทมีเงินสดที่จะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นได้ (เงินสดออกจากบริษัท) ตรงข้ามกับการที่บริษัทไปกู้เงินมา (เงินสดเข้าบริษัท) แน่นอนว่าจะมีเงินสดเพิ่มขึ้น แต่หนี้สินก็เพิ่มด้วย

ดังนั้น พอสรุปได้ว่า สำหรับ “กิจกรรมจัดหาเงิน” ถ้าเงินสด “ออก” จากบริษัท หรือเป็น “ลบ” แปลว่า “ดี” เพราะนั่นหมายความว่าบริษัทไม่ต้องหาเงินจากภายนอก หรือแปลความได้ว่ากิจการ “ไม่ร้อนเงิน”

แต่ถ้าเงินสด “เข้า” มาในบริษัท หรือเป็น “บวก” แปลว่าบริษัทกำลังต้องการเงิน จึงต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เพิ่มทุน หรือใช้วิธีอื่นใดเพื่อให้ได้เงินเข้ามา

ยังมีกรณีอื่นๆ อีกเช่น บริษัทไปกู้เงินธนาคารไว้ ครั้นกิจการทำกำไรได้ มีเงินสดเหลือ จึงเอาเงินสดใช้หนี้ธนาคาร เช่นนี้กระแสเงินสดจะเป็น “ลบ” ซึ่งก็ถือว่า “ดี” อีกเช่นกัน เพราะหากกิจการไม่อยู่ในสถานะที่ดี คงหาเงินมาใช้หนี้แบงก์ไม่ได้

นี่คือภาพรวมๆ ของการดูงบกระแสเงินสด ซึ่งเป็นสิ่งที่วีไอทุกคนควรรู้เป็นอย่างยิ่งครับ


ใครสนใจเรียนแกะงบออนไลน์ พร้อมเรียนสด ประเมินมูลค่าหุ้นและทำ DCF วันที่ 6 ต.ค. คลิกที่ลิงค์นี้เลย https://clubvi.com/valuationanddcf9/

Leave a comment